ปัจจัยที่น่าจับตาเดือนนี้
สำหรับปัจจัยที่น่าจับตาในเดือนนี้ มี อยู่ 4 เรื่องหลักคือ
- การประชุมเฟดเพื่อกำหนดนโยบายการเงิน
- งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ
- การประชุม OPEC+
- 4. แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่อาจเปลี่ยนถ้อยแถลงของประธานเฟดจากที่ตลาดคาดหวังอาจมิใช่ความเหมาะสมของช่วงเวลาหรือตัวเลขตลาดแรงงานเพียงอย่างเดียวแต่อาจหมายรวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ทะลุเป้าหมายของสหรัฐ 2% โดยเฉลี่ย ปจบ.ก็อยู่ราว ๆ 5% กว่าๆ ขณะที่ผู้นำสหรัฐไม่ว่าจะเป็นคุณเจโรม พาวเวล / รมว.คลัง คุณเจเน็ต เยเลน ก็ยังคงมีมุมมองว่าอัตราเงินเฟ้อเกินเป้าหมายจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวจากปัญหาคอขวดจากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจใหม่ ประธานเฟด แย้งว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่แข็งค่าขึ้นในสหรัฐอเมริกานั้นถูกฉุดขึ้นมาด้วยเพียงไม่กี่รายการเท่านั้น เช่น ราคารถยนต์และรถบรรทุกมือสองซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ รวมถึงราคาน้ำมัน ขณะที่ Harmonized Consumer Price Index สถิติเดือน ก.ย. ที่เผยแพร่โดย Eurostat เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในสหภาพยุโรป และ 6.2% ในสหรัฐอเมริกา ภายในยุโรป บางประเทศ เช่น เยอรมนีประสบปัญหาเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ขณะที่ในฝรั่งเศส และ สเปน ยังคงต่ำกว่าตัวเลขของสหภาพยุโรป แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์หลายกลุ่ม ที่เห็นว่าราคาที่ปรับตัวขึ้นอาจมิใช่มุมมองเพียงชั่วคราว ซึ่งหากประธานเฟดคาดการณ์ผิดพลาดผลที่ตามมาอาจสะท้อนภาพในอดีต 1960 ที่ผ่านมาหรือไม่ยังเป็นส่วนที่น่าคิด และด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการคาดการณ์ของตลาดว่า QE Tapering น่าจะมาแน่ ๆ โดยให้น้ำหนักไปที่การประชุม 2-3 พ.ย.นี้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งการลดการเข้าซื้อ Treasury+MBS อาจจะค่อยเป็นค่อยไปเดือนละ $15 bn จนถึงกลางปีหน้า โดยยังคงน้ำหนักการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไว้เช่นเดิมคือปี 2023 หากอัตราเงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวจริง ๆ จากข่าวดังกล่าวอาจกระทบต่อทองคำในเชิงลบ ขณะที่นักลงทุนยังไม่ควรมองข้ามการประชุม OPEC+ .ในวันที่ 4 พ.ย. ว่าจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับปริมาณความต้องการของโลกหรือไม่ ซึ่งเราจะเห็นภาพการขาดแคลนพลังงงานในจีน (มาจากนโยบายการลดการใช้ถ่านหิน) ในอังกฤษ ซึ่งทาง Bloomberg ก็คาดการณ์ว่าปลายปีอาจได้เห็นราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับ $90 ต่อบาร์เรล ขณะที่ปัจจุบันอยู่ระดับ $83 ต่อบาร์เรล ซึ่งความขาดแคลนจะเป็นตัวจุดฉนวนสำคัญของอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางก็เป็นได้ ส่วนนี้จะเป็นตัวสะท้อนภาพอัตราดอกเบี้ย หรือวิกฤตเศรษฐกิจอีกระลอกยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจสรุปในระยะอันสั้นได้ ขณะที่งบประมาณสหรัฐของคุณโจ ไบเดน จำนวน $3.5 ล้านล้าน ที่ดูเหมือนมีอุปสรรคหลายประการที่ไม่สามารถผ่านสภาได้โดยง่าย อาจจะต้องมีการปรับลดลงเงินเป็น $1.75 ล้านล้านด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น วงเงินดังกล่าวก็ไม่ใช่น้อย ๆ ยังให้น้ำหนักมุมมองเชิงต่อทองคำยังคงมีมาแทรกตลอด แม้จะข่าวที่เล็กกว่าที่ตลาด Focus ก็ตาม กลยุทธ์รายเดือนจึงสะท้อนออกมาในรูปแบบองรอย่อตัว แบ่ง Port เข้าซื้อตามจุดรับสำคัญจึงจะดีกว่า
ปัจจัยทางเทคนิค : ทองคำยังอยู่ในอาณาเขต Handle Cup
ด้วยสถานการณ์ที่กล่าวข้างต้น ข่าวใหญ่ให้น้ำหนักเชิงลบมากกว่าบวก แต่เชื่อว่หากข่าวดังกล่าวผ่านพ้นตลาดจะเริ่มซึมซับข่าวบวกในไม่ช้า ดังนั้นจึงอาศัยแนวรับทางเทคนิคเข้าสะสมทองคำเมื่อปรับฐาน
“1732 / 1700-1692 [จุดละไม่เกิน 20-25%]”
ภาพรวมค่าเงินบาท
ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็ยังคงมีอยู่ อาทิ ความกังวลที่ว่าเฟดจะทำ QE Tapering ในเดือนนี้ถือเป็นตัวดึงให้เม็ดเงิน Fund Flow ไหลออกจาก Emerging Market รวมถึงไทยเข้าลงทุนในดอลลาร์ ขณะที่วันที่ 1 พ.ย. ประเทศไทยมีดีเดย์เปิดรับนักท่องเที่ยยว คนไทยและต่างชาติที่เดินทางจาก 63 ประเทศ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เข้ามาประเทศไทยได้ โดยไม่จำเป็นต้องกักตัว และสามารถเดินทางได้ทุกจังหวัดภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไปแล้วเป็นวันแรก ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะหลายประเทศก็เคยทำ บางประเทศเปิดแล้วต้องกลับมาปิดใหม่เพราะไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ แต่หากประเทศไทยทำสำคัญจะถือเป็นโมเดลต้นแบบ และจะส่งผลกระทบค่าเงินบาทแข็งค่ากลับมาได้ แต่หากผลได้ไม่คุ้ผลเสียอาจเป็นตัวจุดชนวนให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับขึ้นมาอีกครั้งตามแนวโน้มระยะกลาง – ยาวได้ข้อนี้ควรระมัดระวัง ซึ่งถือว่าอุปสรรคยังคงมีจากนโยบายไม่ปล่อยนักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวนอกประเทศจนกว่ากลางปีหน้า รวมถึงอัตราการติดเชื้อในประเทศยังคงทรงตัวต่ำกว่า 1 หมื่น ยังถือว่าไม่ได้น้อยสำหรับมุมมองบางประเทศ จึงถือว่ายังมีอุปสรรคอยู่
โดย แนวต้าน ของค่าเงินบาทรายเดือน 33.45 / 33.72 / 34.06 / 34.48
และ แนวรับ ของค่าเงินบาทรายเดือน 32.90 / 32.60 / 32.33
กลยุทธ์ของกรอบราคาทองไทย 96.5%
แบ่งรอบเข้าสะสมทองคำราคาไทย 3 ระดับ โดยปรับตามสถานการณ์ปัจจัยพื้นฐานตามกรอบการลงทุนข้างต้น
แนวรับแรก 27,780 [+/- (50-100)]
แนวรับที่ 2 และ 3: รอสะสมแบบเว้นระยะกลาง หรือ เล่นรอบ 27,300[+/- (50-120)] / 26,770[+/- (50-120)] จุดละ ไม่เกิน 25%