Focus on

Tues.14-15: Fed to discuss faster taper
     นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะส่งสัญญาณเร่งลดอัตรา QE Tapering ให้จบเร็วขึ้นโดยหวังว่าจะเพิ่มปริมาณวงเงินลดการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่อเดือนลง จากเดิมที่คาดว่าจะสิ้นสุดกลางปีหน้าอาจขยับเป็นมีนาคมปีหน้าแทน ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปี 2565 ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อสหรัฐทั่เร่งตัวสูงสุดในรอบกว่า 4 ทศวรรษ และความเสี่ยงจาก Omicron ยังไม่คลี่คลาย

Thurs 16: BoE, ECB decisions
     
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Covid 19 สายพันธุ์ Omicron  ทำให้คาดว่ BoE อาจจะยังๆไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

      ECB คาดว่าจะประกาศว่าโครงการกระตุ้นการระบาดใหญ่ของ PEPP มูลค่า 1.85 ล้านล้านยูโรจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม แต่คลื่นลูกที่สี่ของการระบาดใหญ่และตัวแปร Omicron ใหม่ได้ทำให้แนวโน้มของยูโรโซนยังไม่ชัดเจน

       สัปดาห์นี้มีประชุมธนาคารกลางหลายแห่งถือเป็นการตัดสินใจนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของปี สำหรับ FOMC ECB และ BOE ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ Covid สายพันธุ์ Delta และ Omicron อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถือเป็นตัวเร่งสำคัญให้บรรดาธนาคารกลางต่าง ๆ ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ที่น่าจับตา และกดดันตลาดด้านลบมาตลอดคงเป็นผลการประชุม FOMC เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์กันว่า กาประชุมรอบนี้เฟดมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะปรับเพิ่มวงเงินการทำ QE Tapering ในแต่ละเดือนเป็น 2 เท่า จาก 15bn เป็น 30 bn เพื่อให้ QE สิ้นสุดภายในเดือนมีนาคมก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีหน้า สิ่งที่เปลี่ยนไปจากคาดการณ์ก่อนคือ วงเงินที่จะอัดฉีดในระบบที่เหลือ จะลดลงมากขึ้น และอัตราเบี้ยอาจจะปรับขึ้นเร็ซกว่าเดิม หากเป็นเช่นนั้นจริง จะส่งผลกระตุ้นต่อนโยบายการเงินประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองเราจึงเห็นราคาทองคำในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามักเผชิญแรงขายเมื่อเข้าใกล้แนวต้านสำคัญ 1793 แต่ก็ยังสามารถรักษาระดับเทคนิคได้ดีเหนือ 1750 ความคาดหวังในสัปดาห์นี้หากผลการประชุมประกาศตามตลาดคาดเชื่อว่าให้ผลลบต่อทองคำแต่ก็ไม่มากนักเนื่องจากรับรู้กันก่อนหน้าแล้ว แต่หากไม่มการเพิ่มวงเงินการลดการเข้าซื้อในรายเดือนดังคาดน่าจะมีแรง Panic Buy เข้ามามากทีเดียว เพราะนั่นหมายความความว่า นโยบายการเงินของธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลก อาจยังไม่ต้องเร่งตัวมากนักในช่วงสิ้นปีถึงเดือนแรกของปีหน้าเช่นกัน